HPV เป็นเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุหลักของการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูก ซึ่งโรคมะเร็งปากมดลูกก็เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของผู้หญิงในประเทศไทย และมีอีกหลายคนที่อาจจะยังมองข้ามหรือไม่รู้จักเชื้อไวรัสตัวนี้ นั่นทำให้เชื้อเอชพีวีกลายเป็นภัยเงียบตัวร้ายที่หลายคนนึกไม่ถึง เพราะเชื้อไวรัสนี้มีการติดต่อกันง่ายได้ทั้งเพศหญิง-เพศชาย ติดต่อผ่านการสัมผัสทางผิวหนังและการมีเพศสัมพันธ์ เพียงเท่านี้ก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคมะเร็งปากมดลูกแล้ว
บทความของ SCNews วันนี้ จะขอนำเสนอเนื้อหาสาระสำคัญของเจ้าเชื้อไวรัสตัวร้าย ที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูก เพื่อให้ทุกท่านได้ทำความรู้จักกับเชื้อโรคร้ายตัวนี้ ไปจนถึงให้ท่านผู้อ่านตระหนักถึงความสำคัญในการป้องกันเชื้อ HPV รวมถึงแนวทางการป้องกันและลดความเสี่ยงอีกด้วย เพราะมะเร็งปาดมดลูกถือเป็นภัยเงียบที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับใครทั้งนั้น
HPV คือ อะไร
เชื้อ HPV เป็นเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า ฮิวแมน แปปิโลมา (Human Pailloma) เป็นสาเหตุสำคัญของการติดเชื้อเนื้อเยื่อบุผิว ส่งผลให้เกิดโรคบริเวณอวัยวะเพศและทวารหนัก สามารถพบการติดเชื้อได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย เชื้อไวรัสตัวนี้มีสายพันธุ์ที่มากกว่า 100 สายพันธุ์ โดยมีการแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
- เชื้อกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ำ มักทำให้เกิดที่ผิวหนังหรืออวัยวะเพศ เช่น สายพันธุ์ 6 และ 11
- เชื้อกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เป็นเชื้อกลุ่มที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคมะเร็งทั้ง มะเร็งปากมดลูก มะเร็งช่องคลอด มะเร็งทวารหนัก มะเร็งศีรษะและลำคอ โดยสายพันธุ์ที่รุนแรงคือสายพันธุ์ 16 และ 18
สิ่งที่น่ากลัวของเชื้อไวรัสตัวนี้ คือความสามารถในการติดต่อกันที่ง่ายมาก เนื่องจากมีการแพร่เชื้อผ่านการสัมผัสผิวหนังโดยตรง โดยเฉพาะในบริเวณที่อ่อนนุ่ม เช่น เยื่อบุผิวในอวัยวะเพศ ช่องคลอด และทวารหนัก แม้แต่การสัมผัสระหว่างผิวหนัง หรือสัมผัสทางเพศโดยไม่มีการสอดใส่ ก็มีความเสี่ยงในการติดเชื้อได้เช่นกัน
ลักษณะการติดต่อ และบุคคลกลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
- การสัมผัสทางเพศ การมีเพศสัมพันธ์แบบสอดใส่ มีเพศสัมพันธ์ทางปาก หรือสัมผัสผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศโดยตรง แม้จะไม่ได้มีเพศสัมพันธ์โดยสมบูรณ์ ก็สามารถติดต่อกันได้แล้ว
- การสัมผัสเยื่อบุและผิวหนังโดยตรง การสัมผัสบริเวณที่มีเชื้อไวรัส เช่นแผลเล็ก ๆ หรือบริเวณผิงหนังที่เปิด
- การคลอดบุตร ผู้เป็นแม่ที่ติดเชื้อเอชพีวี สามารถถ่ายทอดเชื้อไปยังลูกน้อย ระหว่างการคลอดผ่านช่องคลอดได้ แม้ว่าในกรณีนี้จะพบได้น้อยมาก ๆ ก็ตาม
แม้ว่า HPV จะเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อยที่สุด แต่ในหลายกรณ๊ ผู้ที่ติดเชื้อก็อาจไม่มีอาการหรือแสดงความผิดปกติใด ๆ เลยก็ได้ นั่นทำให้การป้องกันและการตรวจคัดกรองเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อในวงกว้าง จนเชื้อไวรัสสามารถพัฒนากลายเป็นโรคมะเร็งในที่สุด โดยบุคคลที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อ จะมีลักษณะดังนี้
- ผู้ที่เพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย
- มีคู่นอนหลายคน โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย
- ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ หรือผู้ที่ติดเชื้อ HIV
- ไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันเชื้อ เอชพีวี
เชื้อ HPV กับมะเร็งปากมดลูกในผู้หญิง
ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก เผยว่า มะเร็งปากมดลูกเป็นโรคมะเร็งที่พบได้บ่อยที่สุด ในโรคมะเร็งที่เกิดขึ้นกับผู้หญิง และพบบ่อยเป็นอันดับ 4 จากผู้หญิงทั่วโลก ในปี 2022 ที่ผ่านมา มีรายงานพบผู้ป่วยมะเร็งปาดมดลูกรายใหม่ทั่วโลกมากกว่า 660,000 ราย และมีผู้เสียชีวิตถึง 350,000 ราย ส่วนในประเทศไทย พบผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกรายใหม่กว่า 10,000 รายต่อปี เสียชีวิตมากกว่า 5,200 รายต่อปี
สถิติเหล่านี้ สะท้อนถึงความจำเป็นในการสร้างความตระหนักรู้ เกี่ยวกับเชื้อไวรัส HPV การขาดความรู้ ความเข้าใจ รวมไปถึงการเข้าถึงบริการสุขภาพอย่าง การฉีดวัคซีนและการตรวจคัดกรอง ทำให้ผู้หญิงจำนวนมาก กลายเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัส และถ้าหากโชคร้าย เชื้อโรคก็จะพัฒนาจนกลายเป็นมะเร็งปากมดลูก
แนวทางการป้องกันและรักษา
ในกรณีของการป้องกัน การฉีดวัคซีนถือเป็นวิธีการป้องกันโรค HPV ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดแล้ว ในส่วนของโรคมะเร็งปากมดลูก เด็กสามารถเข้ารับวัคซีนได้ตั้งแต่อายุ 9 ขวบ มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคมะเร็งมดลูกไม่ถึง 90-95% รวมไปถึงเข้ารับการเข้ารับการตรวจคัดกรองครั้งแรกตั้งแต่อายุ 25 ปี หรือหลังจากเริ่มมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกแล้ว
ในส่วนของการรักษา หากผู้ติดเชื้อ HPV ในกลุ่มที่ไม่รุนแรง แพทย์จะพิจารณาการรักษาที่เหมาะสม เช่นการรักษาหูดด้วยการใช้ยาทา การจี้ด้วยไฟฟ้า ผ่าตัดชิ้นเนื้อออก หรือการใช้เลเซอร์ เพื่อกำจัดก้อนหูดออก แต่ไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสที่แฝงอยู่ในร่างกายได้ หากผู้ป่วยติดเชื้อในกลุ่มรุนแรง แพทย์จะพิจารณาการใช้เคมีบำบัด การฉายแสง หรือการผ่าตัด ซึ่งจะขึ้นอยู่กับระยะของโรค
HPV เป็นไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ง่าย มีความอันตรายไม่แพ้โรคหนองใน ซิฟิลิส หรือแม้แต่โรคเอดส์ และยังไม่มีวิธีการรักษาให้หายขาด ดังนั้นพวกเรา SC News หวังเป้นอย่างยิ่งว่า บทความที่เรานำเสนอในวันนี้จะช่วยเป็นสื่อกลาง ให้ท่านผู้อ่านได้ตระหนักรู้ถึงภัยเงียบของเชื้อเอชพีวี ที่สามารถป้องกันหรือหลีกเลี่ยงความเสี่ยงได้