สำนักงานประกันสังคม (สปส.) มีการปรับเพดานค่าจ้างที่ใช้ในการคำนวณเงินสมทบและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ โดยในปี 2569 จะมีการปรับเพิ่มจากเดิม เพื่อให้สอดคล้องกับค่าครองชีพและรายได้ของแรงงานในปัจจุบัน
เดิมทีเพดานค่าจ้างที่ใช้คำนวณเงินสมทบอยู่ที่ 15,000 บาทต่อเดือน แต่จากประกาศล่าสุดมีการ ปรับเพดานค่าจ้างเพิ่มขึ้น (เช่น 20,000 – 25,000 บาทต่อเดือน ขึ้นอยู่กับข้อสรุปจาก สปส.) ส่งผลโดยตรงต่อเงินสมทบที่ผู้ประกันตนและนายจ้างต้องจ่าย
ผลกระทบของการที่ ประกันสังคม ปรับเพดานค่าจ้างในปี 2569
- จ่ายเงินสมทบเพิ่มขึ้น
- เมื่อเพดานค่าจ้างสูงขึ้น เงินสมทบที่คำนวณจากเปอร์เซ็นต์รายได้ก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
- ตัวอย่าง หากอัตราสมทบอยู่ที่ 5% ของรายได้ การปรับเพดานขึ้นเป็น 20,000 บาท จะทำให้ผู้ประกันตนจ่ายสมทบสูงสุด 1,000 บาทต่อเดือน จากเดิม 750 บาท
- สิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้น
- การเพิ่มเพดานค่าจ้างไม่ได้มีผลแค่เงินสมทบ แต่ยังทำให้สิทธิประโยชน์ เช่น เงินทดแทนการขาดรายได้, เงินชราภาพ, เงินทดแทนการคลอดบุตร หรือเงินบำนาญ มีอัตราการคำนวณที่สูงขึ้นตามเพดานใหม่
- นายจ้างต้องบริหารต้นทุนใหม่
- นอกจากลูกจ้างจะจ่ายเพิ่ม นายจ้างก็ต้องสมทบในอัตราที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งอาจกระทบต้นทุนค่าแรงโดยรวม
ทำไมต้องปรับเพดานค่าจ้าง
- สอดคล้องกับเศรษฐกิจและค่าครองชีพ – ค่าครองชีพสูงขึ้น ทำให้เพดานเดิมไม่เพียงพอ
- เพิ่มหลักประกันความมั่นคงให้แรงงาน – เพื่อให้ผู้ประกันตนได้รับสิทธิประโยชน์ที่ใกล้เคียงกับรายได้จริง
- สร้างเสถียรภาพของระบบประกันสังคม – การเพิ่มเงินสมทบช่วยให้กองทุนมีความมั่นคงในระยะยาว
ผู้ประกันตนควรเตรียมตัวอย่างไร?
- ตรวจสอบฐานเงินเดือนของตนเอง ว่าเข้าข่ายเพดานใหม่หรือไม่
- วางแผนการเงิน เนื่องจากต้องจ่ายเงินสมทบเพิ่มขึ้น
- ติดตามประกาศอย่างเป็นทางการจาก สปส. เพื่อทราบตัวเลขที่แน่นอน
- ใช้สิทธิให้คุ้มค่า ไม่ว่าจะเป็นสิทธิรักษาพยาบาล, เงินทดแทน หรือสิทธิชราภาพ
สรุป
ประกันสังคม ปรับเพดานค่าจ้างในปี 2569 เป็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่ผู้ประกันตนและนายจ้างต้องรู้ เพราะกระทบทั้ง เงินสมทบและสิทธิประโยชน์ ที่จะได้รับในอนาคต แม้จะต้องจ่ายเพิ่ม แต่ก็ถือว่าเป็นการลงทุนเพื่อความมั่นคงในชีวิตการทำงานและหลังเกษียณ