โรคงูสวัด คือโรคที่เปรียบเสมือนกับภัยเงียบ และสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่มีการแข่งขันทางสังคมมากขึ้น ผู้คนต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดในแต่ละวันมากขึ้น ยิ่งในวัยทำงานที่กำลังทำงานหนักเพื่อสร้างความมั่นคงให้ชีวิต มีเวลาพักผ่อนน้อย มีความเครียดสะสม องค์ประกอบเหล่านี้คือความเสี่ยงที่ทำให้เป็นโรคงูสวัดได้เช่นกัน ดังนั้น แนวคิดที่ว่าโรคนี้จะเกิดกับผู้สูงอายุเท่านั้น เป็นแนวคิดที่ใช้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
ซึ่งบทความของ SC News ในวันนี้ จะพาทุกท่านไปรู้จักกับโรคงูสวัด โรคที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน เพื่อให้ทุกท่านได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้มากขึ้น รวมถึงการสังเกตอาการ ไปจนถึงวิธีการรักษาด้วย
โรคงูสวัด เกิดจากอะไร
งูสวัด เกิดจากการที่คนเราติดเชื้อไวรัสวาริเซลลาซอสเตอร์ (Varicella Zoster) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า VZV เมื่อคนติดเชื้อตัวนี้เป็นครั้งแรกจะทำให้เป็นโรคอีสุกอีใส แต่เมื่อหายจากโรคอีสุกอีใสแล้ว เจ้าเชื้อไวรัส VZV จะไปหลบซ่อนอยู่ในปมประสาทโดยที่ไม่แสดงอาการใด ๆ ให้เห็นเลยเป็นเวลาหลายปี
และเมื่อภูมิคุ้มกันในร่างกายต่ำ เชื้อ VZV ที่แฝงตัวอยู่จะค่อย ๆ แบ่งตัวเพื่อเพิ่มจำนวน และแพร่กระจายไปตามปมประสาทรับความรู้สึกและปมประสาทผิวหนังจนเกิดการอักเสบ มีรอยโรคลักษณะเป็นผื่นแดงเกิดขึ้น ตามด้วยตุ่มน้ำใสขึ้นเรียงกันเป็นกลุ่มและพาดยาวไปตามแนวปมประสาทรับความรู้สึก ทำให้มีอาการคัน ปวดแสบปวดร้อน และอาจมีไข้ร่วมด้วย ผู้ที่เคยป่วยเป็นอีสุกอีใสมาก่อนจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคงูสวัดทั้งสิ้น
อาการของโรคงูสวัด เป็นอย่างไรบ้าง
อาการโรคงูสวัดถูกแบ่งอาการออกได้เป็น 3 ระยะ ดังนี้
- โรคงูสวัด อาการเริ่มแรก
เป็นระยะที่เชื้อไวรัส VZV ที่แฝงตัวอยู่ เกิดการแพร่กระจายไปตามปมประสาทความรู้สึก และรอบปลายประสาทผิวหนังจนทำให้เส้นประสาทอักเสบ มีอาการชาและปวดแสบปวดร้อนข้างใดข้างหนึ่งของผิวหนังตามแนวเส้นประสาท ในบางรายอาจมีไข้ อ่อนเพลีย ท้องเสียหรือมีภาวะตาสู้แสงไม่ได้ อาการนี้จะกินเวลาประมาณ 1-3 วัน แต่จะยังไม่มีรอยโรคขึ้นที่ผิวหนัง
- งูสวัดระยะออกผื่น
ระยะนี้จะมีรอยโรคขึ้นเป็นผื่นแดงที่ผิวหนังตามแนวประสาทรับความรู้สึก ตามด้วยตุ่มน้ำใสขึ้นพาดเรียงตามแนวปมประสาทที่บริเวณด้านซ้ายหรือด้านข้างของลำตัว แผ่นหลัง หรือด้านในด้านหนึ่งของใบหน้า ดวงตา และลำคอ ผื่นงูสวัดจะไม่กระจายไปทั่วเหมือนผื่นโรคอีสุกอีใส และจะขึ้นเต็มที่ใน 3-5 วัน เจ็บแปลบที่ผิวหนังแม้ถูกสัมผัสเพียงเล็กน้อย
ต่อมาผื่นจะแตกออกกลายเป็นแผลและค่อย ๆ แห้ง ตกสะเก็ดและหลุดออกจากผิวหนังภายใน 10-15 วัน หากผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันต่ำ ผื่นงูสวัดอาจมีความรุนแรงกว่าและขึ้นแบบพันรอบตัว
- ระยะฟื้นหายจากโรค
เป็นระยะหลังจากที่โรคงูสวัดสงบลง ผื่นจะค่อย ๆ ยุบตัวลง รอยโรคที่ผิวหนังตามแนวปมประสาทจะค่อย ๆ จางหายไป แต่อาจจะมีอาการบางอย่างหลงเหลืออยู่ เช่น อาการปวดแสบปวดร้อน ปวดเหมือนมีเข็มทิ่มที่ผิวหนัง อาจมีอาการปวดตลอดเวลาหรือเป็น ๆ หาย ๆ ก็ได้ และในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการปวดนานหลายปี
นอกเหนือจากนี้ ยังมีกลุ่มอาการของ งูสวัดหลบใน อีกด้วย ผู้ป่วยที่มีอาการในกลุ่มนี้จะมีอาการชา คัน ปวดแสบปวดร้อนตามแนวเส้นประสาทรับความรู้สึก แต่จะไม่มีผื่นขึ้น ผู้ที่สงสับว่าตนเองมีอาการงูสวัดหลบใน ควรรีบพบแพทย์เพื่อเข้ารับการวินิจฉัยเพิ่มเติมโดยทันที

การวินิจฉัย โรคงูสวัด
แพทย์ที่ทำการวินิจฉัยโรคงูสวัดจะทำการซักประวัติผู้ป่วยว่า เคยเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อนหรือไม่ ต่อด้วยทำการตรวจร่างกายดูรอยโรคที่เป็นลักษณะเฉพาะของโรคงูสวัดก่อนการรักษา ในกรณีที่สงสัยว่าอาจอยู่ในกลุ่มอาการของงูสวัดหลบใน แพทย์จะทำการวินิจฉัยเพิ่มเติม ดังนี้
- การตรวจแบบ Tzanck Smear วิธีนี้จะเป็นการเจาะตุ่มน้ำและขูดตัวอย่างเซลล์เนื้อเยื่อที่ฐานของตุ่มน้ำเพื่อส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ เป็นวิธีการตรวจที่ใช้เวลาไม่นาน แต่มีข้อเสียตรงที่การตรวจนี้อาจไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างโรคงูสวัดกับโรคเริมได้
- การเพาะเชื้อไวรัส เป็นการนำตัวอย่างเซลล์ตุ่มน้ำมาทำการเพาะเลี้ยงในน้ำเลี้ยงเชื้อชนิดพิเศษ เพื่อตรวจหาเชื้อไวรัส VZV มีผลตรวจที่มีความแม่นยำราว ๆ 60-90%
- การตรวจแบบ PCR การตรวจด้วยวิธี PCR เป็นการตรวจที่มีความไวและมีความจำเพาะต่อเชื้อสูง และให้ผลการตรวจที่มีความแม่นยำมากกว่าการเพาะเชื้อ 2-3 เท่า
โรคงูสวัด รักษายังไง
แพทย์ที่ทำการรักษาโรคงูสวัด มักจะใช้หลักการเร่งบรรเทาความรุนแรงของโรค ลดอาการปวดแสบปวดร้อน ป้องกันภาวะแทรกซ้อน และช่วยให้ร่างกายหายจากโรคโดยเร็วที่สุด ด้วยการรักษาโรคงูสวัดตามระยะอาการของโรคที่ตรวจพบควบคู่ไปกับการให้ยา โดยการรักษาโรคงูสวัดให้ได้ประสิทธิภาพดีที่สุด คือการเริ่มรักษาทันทีที่ผื่นงูสวัดขึ้นภายใน 48-72 ชั่วโมง โดยมีวิธีการรักษาดังนี้
- การให้ยาต้านไวรัส แพทย์จะพิจารณาให้ยาต้านไวรัสเพื่อลดความรุนแรงของโรค ลดอาการอักเสบและการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสที่ผิวหนัง ลดอาการปวดแสบปวดร้อน ช่วยให้ตุ่มน้ำยุบลงเร็วขึ้น ช่วยลดอาการผื่นซ้ำ ลดโอกาสการเกิดภาวะแทรกซ้อนด้วย
- การให้ยาต้านแบคทีเรีย แพทย์จะให้ยาต้านแบคทีเรียทั้งชนิดรับประทาน และชนิดทาสำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะแทรกซ้อน เร่งให้ผื่นงูสวัดยุบตัวลงโดยเร็วที่สุด
- การให้ยาแก้ปวด ในกรณีที่ผู้ป่วยมีความเจ็บปวดรุนแรง แพทย์จะมีพิจารณาให้ยาแก้ปวดร่วมกับยาแก้ปวด จำพวกยาพาราเซตามอล ไอบูโพรเฟน เพื่อทุเลาอาการปวด
ลดความเสี่ยงด้วยการฉีดวัคซีน
ด้วยนวัตกรรมแพทย์ในปัจจุบัน มีวัคซีนป้องกันโรคงูสวัดในประเทศไทยถึง 2 ชนิด ได้แก่
- Zoster Vaccine Live วัคซีนชนิดเชื้อเป็นจำนวน 1 เข็ม เป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคงูสวัดในผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปได้สูงถึง 69.8%
- Shingrix Vaccine เป็นวัคซีนป้องกันโรคงูสวัดแบบเชื้อตายชนิดใหม่ จำนวน 2 เข็ม ได้รับการพัฒนาสูตรให้ป้องกันโรคงูสวัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โรคงูสวัด ถือเป็นภัยเงียบที่ทุกคนควรระวัง แต่ก็สามารถหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการเป็นโรคได้ด้วยการดูแลตัวเองให้ดี พักผ่อนให้เพียงพอ รวมไปถึงการฉีดวัคซีนป้องกันโรคที่สามารถลดความเสี่ยงได้มาก หวังว่าบทความของ SC News ในวันนี้จะช่วยให้ทุกท่านตระหนักและเฝ้าระวังโรคงูสวัดไม่ให้เกิดขึ้นกับตัวคุณและครอบครัวของคุณได้