บริจาคเลือด หรือการบริจาคโลหิต เป็นการบริจาคเลือดของตัวเองเพื่อนำไปเก็บไว้ในคลังสำรองเลือด ซึ่งเลือดที่ได้รับการบริจาค จะนำไปใช้กับผู้ป่วยฉุกเฉินที่มีความต้องการเลือด เช่น ผู้ที่สูญเสียเลือดจากอุบัติเหตุหรือจากการเข้ารับการผ่าตัด รวมไปถึงผู้ป่วยที่มีความต้องการเลือดอย่างโรคมะเร็ง โรคโลหิตจาง โรคธาลัสซีเมีย โรคเลือดไหลไม่หยุด (ฮีโมฟีเลีย) โดยการบริจาคเลือด ถือเป็นวิธีการช่วยชีวิตผู้อื่นที่ดีที่สุดเท่าที่คนทั่วไปสามารถจะทำได้
หลายท่านอาจจะเคยมีประสบการณ์ในการบริจาคเลือดมาแล้ว แต่ก็ยังมีอีกหลายท่านที่ไม่เคยบริจาคเลือดเลย อาจเป็นเพราะความกังวลในเรื่องความปลอดภัย หรือยังไม่รู้เงื่อนไขว่าต้องทำอย่างไรบ้าง ลองอ่านบทความที่ SCNews นำเอามาฝากทุกท่านในวันนี้ได้เลย เพราะเราจะพาทุกท่านไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับการบริจาคเลือด รวมไปถึงคุณสมบัติและการเตรียมตัวก่อนการบริจาคเลือด เพื่อให้ทุกท่านได้เข้าใจว่า การบริจาคเลือดให้อะไรกับคุณมากกว่าที่คิดอีกด้วย
สาเหตุที่ต้องมีการ บริจาคเลือด
เลือดและส่วนประกอบของเลือด ถือเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างมากในการใช้รักษาผู้ป่วยฉุกเฉินที่ได้รับอุบัติเหตุ หรือใช้ในการรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเม็ดเลือดเองได้ ซึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้ต้องมีการรับบริจาคเลือดจากบุคคลทั่วไปที่มีคุณสมบัติและความพร้อมทางร่างกาย นั่นเป็นเพราะ เลือดและส่วนประกอบของเลือดเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำการซื้อขายได้ จำเป็นต้องได้มาโดยการบริจาคเท่านั้น
การบริจาคเลือด คือการสละเลือดส่วนเกินในร่างกาย ให้กับผู้ป่วยที่มีความต้องการเลือด และจะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายของผู้บริจาค เพราะการบริจาคเลือดในแต่ละครั้งจะมีการสูญเสียเลือดประมาณ 10% ของร่างกายเท่านั้น และเมื่อบริจาคเลือดออกไปแล้ว ไขกระดูกจะสร้างเม็ดเลือดขึ้นมาทดแทน ทำให้ปริมาณเลือดในร่างกายกลับมาเท่าเดิม โดยผู้บริจาคเลือดสามารถบริจาคได้ทุก ๆ 3 เดือน
คุณสมบัติของผู้ที่สามารถบริจาคเลือดได้
ใช่ว่าทุกคนจะสามารถบริจาคเลือดได้ เพราะทางสภากาชาดได้มีการกำหนดคุณสมบัติของผู้บริจาคเลือดไว้ ดังนี้
- มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง
- มีน้ำหนักตัวตั้งแต่ 45 กิโลกรัมขึ้นไป
- มีอายุตั้งแต่ 17 – 70 ปี : ผู้บริจาคเลือดอายุ 17 ปี ต้องมีเอกสารยืนยันความยินยอมจากผู้ปกครอง และสำหรับผู้บริจาคเลือดครั้งแรก ควรบริจาคเมื่อมีอายุไม่เกิน 55 ปี
- นอนหลับพักผ่อนไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมงในคืนก่อนบริจาคเลือด
- ไม่มีอาการท้องเสียหรือเป็นไข้หวัดในช่วง 7 วันก่อนบริจาคเลือด
- ไม่มีอาการน้ำหนักลดลงอย่างผิดปกติในช่วง 3 เดือนก่อนบริจาคเลือด
- ไม่เคยมีประวัติการใช้ยาเสพติด
- ไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ หรือไม่มีคู่นอนที่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ
- ไม่อยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์ ไม่มีการคลอดบุตรหรือแท้งบุตรในช่วง 6 เดือนก่อนบริจาคเลือด
- หากมีการทำทันตกรรมอย่าง ถอนฟัน ขูดหินปูน รักษารากฟัน ควรทิ้งระยะก่อนบริจาคเลือด 3 วัน
- หากมีการผ่าตัดใหญ่ ควรทิ้งระยะห่างก่อนบริจาคเลือดอย่างน้อย 6 เดือน ส่วนการผ่าตัดเล็กควรทิ้งระยะห่างก่อนบริจาคเลือดอย่างน้อย 7 วัน
- หากเคยได้รับการให้เลือดจากผู้อื่น ควรทิ้งระยะห่างก่อนการบริจาคเลือดอย่างน้อย 1 ปี
- หากเคยป่วยเป็นโรคไข้มาลาเรีย ควรทิ้งระยะห่างก่อนการบริจาคเลือดอย่างน้อย 3 ปี
การเตรียมตัวในการ บริจาคเลือด
สำหรับผู้ที่ต้องการ บริจาคเลือด เตรียมตัว ได้ทั้ง 2 ช่วง นั่นคือช่วงก่อนบริจาคเลือดและช่วงหลังบริจาคเลือด เพื่อให้การบริจาคเลือดเกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งฝ่ายของผู้บริจาคและผู้ที่ต้องการเลือดในอนาคต
การเตรียมตัวก่อนบริจาคเลือด

- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ โดยไม่ต่ำกว่า 5 ชั่วโมง
- รับประทานอาหารประจำมื้อก่อนบริจาคเลือด ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงก่อนการบริจาคเลือดอย่างน้อย 6 ชั่วโมง เพราะจะทำให้พลาสมามีสีขาวขุ่น ไม่สามารถนำไปใช้รักษาผู้ป่วยได้
- ดื่มน้ำประมาณ 3-4 แก้วก่อนบริจาคเลือดประมาณ 30 นาที ซึ่งจะเท่ากับปริมาณเลือดที่เสียไปในการบริจาค อีกทั้งยังช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น และลดภาวการณ์เป็นลมหมดสติขณะบริจาคเลือดได้อีกด้วย
- งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อนบริจาคเลือดอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
- งดสูบบุหรี่ทั้งก่อนและหลังบริจาคเลือดเป็นเวลา 1 ชั่วโมง เพื่อให้ปอดทำการฟอกเลือกได้ดียิ่งขึ้น
การปฏิบัติตัวหลังการบริจาคเลือด
- ดื่มน้ำให้มากกว่าปกติเป็นเวลา 24 ชั่วโมง
- รับประทานยาหรืออาหารเสริมธาตุเหล็กวันละ 1 เม็ดหลังอาหารจนหมด เพื่อชดเชยธาตุเหล็กที่เสียไปจากการบริจาคเลือด
- หลีกเลี่ยงการขึ้น-ลงที่สูง เพราะอาจทำให้รู้สึกวิงเวียนหรือเป็นลมได้
- หลีกเลี่ยงการใช้แขนข้างที่บริจาคเลือดเป็นเวลา 24 ชั่วโมง
- งดออกกำลังกายที่ทำให้เสียเหงื่อเป็นเวลา 24 ชั่วโมง รวมถึงหลีกเลี่ยงการไปยังสถานที่แออัดหรือร้อนอบอ้าว
สิ่งที่ได้หลังการ บริจาคเลือด สิทธิประโยชน์
- การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ทำให้คุณได้ความสุขทางใจ ได้ทำบุญ
- ช่วยกระตุ้นไขกระดูกสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงใหม่ เพราะเซลล์เม็ดเลือดแดงที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ จะมีประสิทธิภาพดีกว่า
- ช่วยให้ระบบหมุนเวียนเลือดดีขึ้น ผิวพรรณสดใส เปล่งปลั่ง
- ได้รู้ถึงข้อมูลของสุขภาพตนเอง
- ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะธาตุเหล็กเกินตัว
นอกเหนือจากเรื่องสุขภาพแล้ว โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขและสภากาชาดไทย ยังมอบสิทธิพิเศษให้กับผู้บริจาคเลือดอีกด้วย เป็นส่วนลดค่ารักษาพยาบาล ให้กับผู้ที่ บริจาคเลือด สิทธิประโยชน์ จากสภากาชาดไทย มีเงื่อนไขและรายละเอียดดังนี้
สิทธิประโยชน์เมื่อเข้าโรงพยาบาล ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข
- ผู้บริจาค 1 ครั้งขึ้นไป ช่วยเหลือค่าห้องพิเศษ ค่าอาหาร 50% ของส่วนเกินจากสิทธิพื้นฐาน
- ผู้บริจาค 18 ครั้งขึ้นไป ช่วยเหลือค่าห้องพิเศษ ค่าอาหาร 50% ของอัตราที่แต่ละโรงพยาบาลกำหนดไว้
สิทธิประโยชน์เมื่อเข้าโรงพยาบาลในสังกัด สภากาชาดไทย (โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์และโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา)
- ผู้บริจาค 7 ครั้งขึ้นไป ช่วยเหลือค่าห้องพิเศษ ผ่าตัด คลอดบุตร 50% ยกเว้นการผ่าตัดด้วยอุปกรณ์พิเศษ แต่ผู้ป่วยยังคงต้องชำระค่ารักษาประเภทผู้ป่วยสามัญ
- ผู้บริจาค 24 ครั้งขึ้นไป ช่วยเหลือค่าห้องพิเศษ ผ่าตัด คลอดบุตร 50% ยกเว้นการผ่าตัดด้วยอุปกรณ์พิเศษ โดยผู้ป่วยไม่ต้องชำระค่ารักษาประเภทผู้ป่วยสามัญ
ซึ่งสิทธิประโยชน์ที่กล่าวมานั้น มีเงื่อนไขการขอความช่วยเหลือ ดังนี้
- กรณีที่ผู้บริจาคเลือดต้องเข้ารับการรักษาพยาบาล และมีสิทธิพื้นฐานอย่าง บัตรทอง บัตรข้าราชการ หรือประกันสังคม สิทธิ์เหล่านั้นจะถูกนำมาใช้ก่อน
- ผู้บริจาคเลือดต้องเป็นผู้ป่วยในเท่านั้น และเป็นสิทธิ์เฉพาะ ไม่สามารถโอนให้ผู้อื่นได้
- นำบัตรประจำตัวผู้บริจาคเลือด หรือบัตรประชาชน มาขอหนังสือรับรองได้ที่ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภาชาดไทย ภาคบริการโลหิตแห่งชาติ และรพ.สาขาบริการโลหิตแห่งชาติ เมื่อรู้วันนอนโรงพยาบาลที่แน่นอน