กล้วยไข่ ผลไม้ที่ขึ้นชื่อของจังหวัดกำแพงเพชร นิยมรับประทานร่วมกับกระยาสารท และเป็นผลไม่คู่กับเทศกาลสารทไทยอีกด้วย จากงานวิจัยของสำนักโภขนาการ กรมอนามัย พบว่า มีคุณประโยชน์สูง โดยมีวิตามินอี เบต้าแคโรทีน และวิตามึนซี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของโรคมะเร็ง หรือทำให้เกิดการอักเสบ การทำลาลายเนื้อเยื่อ รวมทั้งโรคต้อกระจก กลัวยไข่เมื่อสุกแล้ว จะมีสีเหลืองสดใส บางครั้งมีจุดดำเล็ก ๆ ประปรายโดยเฉพาะเมื่อผลสุกงอม เนื้อสีครีมอมส้ม มีรสหวานอร่อย
การนำ กล้วยไข่ มาใช้เป็นอาหาร
ปลีกล้วย สามารถนำมาลวกจิ้มน้ำพริก หรือจะใส่แกงเลียง ส่วนหยวกกล้วยก็นำมาแกงได้รสอร่อย หรือจะนำเอากล้วยดิบมาแกงก็ได้เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ยังทำของหวานได้อีกหลากหลาย อาทิ กล้วยไขเชื่อม. ข้าวเม่าทอดกล้วยไข่, บวชชีกล้วยไข่ เป็นต้น
สรรพคุณด้านต้านมะเร็ง
กล้วยไข่ ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่มากมาย ซึ่งสารนี้สามารถช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพันจากความชราชะลอริ้วรอยต่าง ๆ ตลอดจนชะลอความเสื่อมของเซลล์ มีฤทธิ์ป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็ง และยับยั้บยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์เนื้อร้าย ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งได้ดี
นอกจากนี้ยังมีวิตามินบี ซึ่งช่วยบำรุงระบประสาท ทำให้ความจำดีขึ้น วิตามินชีและวิตามินอี สร้างความสมดุลต่อระบบการทำงานของร่างกาย ทำให้ไม่ป่วยง่าย กากใยจะช่วยดูดขับสารพิษออกจากร่างกาย
สรรพคุณทั่วไป
- บำบัดโรคท้องเสียและแผลในกระเพาะอาหาร นำเอากล้ายได้ดิบหนึ่งลูกบดกับน้ำให้เข้ากัน จากนั้นให้ใส่น้ำตาลหรือน้ำผึ้งเล็กน้อย เป็นการแก้โรคท้องเสียและแผลในกระเพาะอาหารได้ดี
- โรคโลหิตจาง โรคเกี่ยวกับลำไส้ กล้วยไข่ที่สุกสามารถเป็นยาระบายได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังช่วยแก้โรคริดสีดวงทวาร ส่วนหัวปลีแก้โลหิตจาง โรคเกี่ยวกับลำไส้ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้
- ท้องเสีย ใช้กล้วยสุกหรือท่าม มาฝานให้บางและตากให้แห้ง นำไปบดให้ละเอียด จากนั้นน้ำผงกล้วย 3-4 ช้อนชา ผสมน้ำ 1-2 ช้อนชา ดื่มวันละ 4 ครั้ง ทานก่อนอาหารและก่อนนอน ก็จะทำให้อาการทุเลาลง
- ส้นเท้าแตก หากต้องการแก้ส้นเท้าแตก ก็ให้ใช้กล้วยไข่สุกหรือเปลือกกล้วย มาทาบริเวณที่ส้นเท้าแตก เพื่อเป็นการให้ความชุ่มชื่นกับบริเวณนั้น ๆ รอยแตกก็จะเลือนหายไปในที่สุด