ฝีดาษลิง กำลังเป็นโรคติดต่อที่หลายคนกำลังให้ความสนใจและเฝ้าระวังกันเป็นอย่างมาก เพราะมีการรายงานข่าวว่า พบการระบาดของโรคนี้ในช่วงเดือนสิงหาคม 2567 ในทวีปแอฟริกา หลังจากที่โลกได้รู้จักกับเชื้อไวรัส โควิด-19 เมื่อ 5 ปีก่อน ทำให้ประชากรโลกเกิดความวิตกกังวลว่า จะเกิดการระบาดของโรคซ้ำรอยแบบเดิม ซึ่งเราจะพาไปทำความรู้จักกับโรคฝีดาษลิงผ่านบทความบทนี้ เพื่อให้ทุกท่านได้มีความเข้าใจและตระหนักรู้ถึงข้อมูลของโรค ไปจนถึงการดูแลและป้องกันตัวเองไม่ให้เกิดความเสี่ยงที่จะติดเชื้อโรคฝีดาษลิง
ทำความรู้จักกับโรค ฝีดาษลิง
ฝีดาษลิงเกิดจาก เชื้อไวรัส Orthopoxvirus ซึ่งเป็นเชื้อกลุ่มเดียวกันกับโรคฝีดาษ หรือ ไข้ทรพิษในคน ซึ่งเป็นโรคประจำถิ่นของทวีปแอฟริกา ซึ่งโรคฝีดาษลิงถูกค้นพบครั้งแรกในปี 2501 โดยพบจากลิงที่ติดเชื้อ จึงทำให้โรคนี้ถูกเรียกว่าโรคฝีดาษลิง แต่ลิงไม่ได้เป็นจุดกำเนิดของโรคนี้อย่างที่หลาย ๆ คนเข้าใจกัน
ในปี 2513 มีรายงานว่า พบการติดเชื้อฝีดาษลิง ในมนุษย์ครั้งแรกในประเทศสาธารณรัฐคองโก และพบการติดเชื้อในประเทศแถบทวีปแอฟริกาเป็นหลัก แต่หลังจากปี 2546 ก็เริ่มมีการระบาดมากยิ่งขึ้น นอกเหนือจากประเทศแถบทวีปแอฟริกา
อาการของโรค และกลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
โรคฝีดาษลิงมีระยะฟักตัวอยู่ที่ 5-20 วัน หากกลุ่มเสี่ยงมีการสัมผัสเชื้อมากก็ยิ่งแสดงอาการได้เร็วยิ่งขึ้น โรคนี้สามารถติดต่อได้ทั้ง 2 ทาง นั่นคือ ติดต่อจากสัตว์สู่คนและติดต่อจากคนสู่คน หากมีการสัมผัสโดยตรงกับสัตว์หรือคนที่ป่วยเป็นโรคนี้ โดยผู้ป่วยที่เป็น ฝีดาษลิงอาการ ของโรคจะแสดงออกมาดังนี้
- มีไข้ หนาวสั่น ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว ปวดหลัง ปวดกระบอกตา เจ็บคอ และอ่อนเพลีย
- หลังจากแสดงอาการในช่วงแรกราว ๆ 4-5 วัน จะพบผื่นนูนแดงขึ้นจำนวนมากในผู้ป่วย ตามบริเวณแขน ขา ลำตัว ใบหน้า
- จากนั้นจะมีตุ่มน้ำใสขนาดใหญ่ หรือมีตุ่มหนองที่สามารถแตกได้ ซึ่งความรุนแรงของอาการจะขึ้นอยู่กับปริมาณเชื้อที่ผู้ป่วยได้รับ
ส่วนกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อฝีดาษลิง คือ
- ผู้ที่อาศัยหรือมีการเดินทางเข้าไปยังพื้นที่ที่มีการระบาด
- ผู้ที่สัมผัสหรืออยู่ใกล้ชิดกับสัตว์หรือผู้ป่วยติดเชื้อ
- บุคลากรทางการแพทย์ที่อยู่ใกล้กับผู้ติดเชื้อ
- ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ
ความรุนแรงของโรค ฝีดาษลิง
แม้ว่าโรคฝีดาษลิง จะมีลักษณะหรืออาการใกล้เคียงกับโรคฝีดาษที่เคยระบาดก็จริง แต่โรคฝีดาษลิงจะมีความรุนแรงของโรคต่ำกว่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถหายเองได้ในระยะเวลา 2-4 สัปดาห์ และโรคนี้ “ไม่ได้มีความรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิต”
ส่วนผู้ที่ป่วยเป็นโรคฝีดาษลิงต้องแยกตัวจากผู้อื่นทันที แยกห้องนอน แยกห้องน้ำ แยกของใช้ส่วนตัว และที่สำคัญที่สุดเลยคือ ผู้ป่วยห้ามแคะ แกะ เกาผื่นหรือตุ่มที่ขึ้น เพราะจะเกิดแผลเป็นตามบริเวณที่ตุ่มหนองแตกออก
การป้องกัน และการรักษา
การป้องกันโรคฝีดาษลิง สามารถทำได้โดยการสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือให้บ่อย ไม่ใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น ไม่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่ป่วยเป็นโรคฝีดาษลิง รวมไปถึงการระวังไม่ให้สัตว์กัดหรือข่วนจนเกิดแผลอีกด้วย การทำวัคซีนป้องกันโรคฝีดาษในคนก็สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันต้านทานโรคฝีดาษลิงได้ด้วย แม้ว่าผู้ป่วยที่เป็นโรคฝีดาษลิงจะสามารถหายเองได้ก็ตาม แต่ก็ควรได้การรักษาควบคู่ไปด้วยเช่นกัน โดยส่วนใหญ่จะเป็นการรักษาตามอาการ เพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อนที่สามารถเกิดขึ้นได้ ที่สำคัญที่สุดคือ ผู้ป่วยต้องได้รับสารอาหารและน้ำที่เพียงพอ
สรุป
โรคฝีดาษลิง ถือว่ายังเป็นโรคที่มีอัตราการระบาดและอัตราการเสียชีวิตที่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างต่ำ แต่ลักษณะของการแพร่ระบาดของโรคในปัจจุบันนี้มีลักษณะของการระบาดที่เปลี่ยนแปลงแตกต่างไปจากเดิมเป็นอย่างมาก การหาความรู้และการทำความเข้าใจในโรค เพื่อให้เข้าใจถึงแนวทางป้องกันและรักษาโรคจึงยังคงเป็นสิ่งที่จำเป็น และทุกท่านก็ควรจะเฝ้าระวัง ติดตามข้อมูลข่าวสารของโรคอย่างใกล้ชิด