You are currently viewing โรคพิษสุนัขบ้า อันตรายถึงชีวิต ป้องกันอย่างไรให้ปลอดภัย

โรคพิษสุนัขบ้า อันตรายถึงชีวิต ป้องกันอย่างไรให้ปลอดภัย

โรคพิษสุนัขบ้า หรือที่หลายคนรู้จักกันในชื่อ “โรคกลัวน้ำ” (Rabies, Hydrophobia) เป็นโรคที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงมากและพบได้ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย แม้ปัจจุบันเราจะมีการรณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกัน แต่ในทุกปี ก็ยังมีรายงานผู้เสียชีวิตจากโรคนี้อยู่เสมอ สาเหตุหลักเกิดจากความประมาทเลินเล่อ เช่น ปล่อยให้สัตว์เลี้ยงไม่ได้รับวัคซีน หรือผู้ถูกกัดไม่ได้ไปพบแพทย์ในทันที

จุดอันตรายของโรคพิษสุนัขบ้าคือ เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะเดินทางไปตามเส้นประสาทและเข้าสู่สมอง ก่อให้เกิดการอักเสบของสมองและไขสันหลัง หากถึงขั้นเริ่มแสดงอาการแล้ว แพทย์แทบไม่สามารถรักษาให้หายได้ การรับรู้วิธีป้องกันตั้งแต่แรก จึงเป็นเสมือนเกราะป้องกันชีวิตที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง

ความรุนแรงและการแพร่เชื้อ ของโรคพิษสุนัขบ้า

โรคพิษสุนัขบ้าแพร่จากสัตว์สู่คน ผ่านน้ำลายของสัตว์ที่มีเชื้อ โดยเชื้อจะเข้าสู่ร่างกายผ่านบาดแผล ปาก จมูก หรือดวงตา สัตว์พาหะที่พบบ่อยที่สุดคือสุนัขและแมว แต่เชื้อยังสามารถพบได้ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมได้แทบทุกชนิด เช่น หมู ม้า วัว ควาย รวมถึงสัตว์ป่าอย่างลิง ชะนี กระรอก และค้างคาว ซึ่งถือเป็นตัวแพร่เชื้อสำคัญในหลายประเทศทั่วโลก

ความร้ายแรงของโรคนี้ อยู่ที่ระยะฟักตัวที่ไม่แน่นอน ผู้ติดเชื้อบางรายเริ่มแสดงอาการใน 2–3 สัปดาห์ ขณะที่บางคนอาจใช้เวลานานเป็นปี ทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่า ตนปลอดภัยแล้ว ทั้งที่เชื้อยังซ่อนตัวอยู่และพร้อมจะแสดงอาการที่รุนแรงทันที การควบคุมโรคจึงไม่ใช่เรื่องง่าย หากขาดการป้องกันอย่างจริงจังตั้งแต่ต้นทาง

โรคพิษสุนัขบ้า อาการ ของผู้ป่วยเป็นอย่างไร

ผู้ติดเชื้อจะค่อย ๆ แสดงอาการเป็นลำดับ ดังนี้

  • เริ่มแรก มีไข้ต่ำ ปวดศีรษะ เจ็บคอ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร
  • อาการเฉพาะ คันหรือปวดแผลที่เคยถูกกัด แม้บาดแผลหายสนิทไปแล้ว
  • ระยะอันตราย กล้ามเนื้อคอและกล่องเสียงหดเกร็ง ทำให้กลืนลำบาก เกิดอาการกลัวน้ำ น้ำลายฟูมปาก กระวนกระวาย ตกใจง่าย
  • ระยะสุดท้าย กล้ามเนื้อแขนขาเกร็งกระตุก เป็นอัมพาตหมดสติ และเสียชีวิตภายใน 2–7 วัน นับจากเริ่มมีอาการ

วิธีสังเกตสุนัขหรือแมว ที่ติดเชื้อพิษสุนัขบ้า

  • ระยะต้น สัตว์มีพฤติกรรมผิดปกติ กระวนกระวาย ตกใจง่าย กัดสิ่งของแปลก ๆ หรือกินเศษไม้ หิน ดิน
  • ระยะกลาง ก้าวร้าว กัดทุกสิ่งที่ขวางหน้า กินอาหารน้อยลง ตาไวต่อแสงและเสียง
  • ระยะท้าย อัมพาต เสียงเห่าผิดปกติ น้ำลายไหล ลิ้นห้อย ขากรรไกรแข็ง เดินไม่มั่นคง และตายใน 10 วันหลังแสดงอาการ

อย่างไรก็ตาม สัตว์บางตัวอาจไม่ดุร้าย แต่มีอาการซึม หลบมุม ไม่กินอาหาร หรือทำท่าเหมือนมีกระดูกติดคอ หากพบพฤติกรรมผิดปกติ ควรรีบนำสัตว์ไปพบสัตวแพทย์ทันที

แนวทางการป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า

  1. วัคซีนสัตว์เลี้ยง พาสุนัขและแมวไปรับวัคซีนทุกปี โดยเข็มแรกควรฉีดเมื่ออายุ 2–5 เดือน และกระตุ้นซ้ำภายใน 1–3 เดือนหลังจากนั้น
  2. กฎ “5 ย” อย่าแหย่ อย่าเหยียบ อย่าแยก อย่าหยิบ อย่ายุ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกกัด
  3. ป้องกันเด็กเล็ก ไม่ให้เล่นคลุกคลีกับสัตว์ที่ไม่รู้ประวัติ หรือยังไม่ได้รับวัคซีน
  4. จัดการสิ่งแวดล้อม เก็บขยะให้มิดชิด ไม่ให้เป็นแหล่งอาหารของสุนัขจรจัด
  5. แจ้งเจ้าหน้าที่ หากพบสัตว์ต้องสงสัยว่าติดเชื้อ ควรรีบแจ้งปศุสัตว์หรือสาธารณสุขในพื้นที่

แนวทางการรักษา เมื่อสุนัข แมวกัดหรือข่วน

  • ล้างแผลด้วยสบู่และน้ำสะอาดหลาย ๆ ครั้งให้นานอย่างน้อย 15 นาที
  • ใส่ยาฆ่าเชื้อ เช่น โพวิดีน ไอโอดีน
  • รีบไปพบแพทย์เพื่อรับวัคซีน และในบางกรณีอาจต้องได้รับภูมิคุ้มกัน (Immunoglobulin)
  • กักขังสุนัขหรือแมวที่กัดไว้อย่างน้อย 10 วันเพื่อสังเกตอาการ หากสัตว์ตายหรือแสดงอาการผิดปกติ ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อตรวจสอบทันที

โรคพิษสุนัขบ้า ไม่ใช่เพียงโรคในตำราแพทย์ แต่เป็นภัยเงียบที่ยังคงเกิดขึ้นจริงรอบตัวเรา การเสียชีวิตของผู้ป่วยส่วนใหญ่ ไม่ได้เกิดจากความรุนแรงของเชื้อเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการ “ละเลย” ของคน เช่น ไม่รีบล้างแผล ไม่ไปพบแพทย์ หรือไม่ฉีดวัคซีนให้สัตว์เลี้ยงอย่างต่อเนื่อง สิ่งเหล่านี้เป็นช่องโหว่ที่เปิดโอกาสให้เชื้อร้ายคร่าชีวิตได้ง่ายดาย

ดังนั้น การป้องกันคือคำตอบที่ดีที่สุด SCNews แนะนำว่า การฉีดวัคซีนให้สัตว์เลี้ยงทุกปี การปฏิบัติตามกฎ 5 ย เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกกัด และการรีบไปพบแพทย์ทันที เมื่อถูกกัดหรือข่วน คือเกราะกำบังที่ทำให้เราปลอดภัยจากโรคพิษสุนัขบ้าได้จริง ความใส่ใจเล็ก ๆ ในวันนี้ อาจเป็นสิ่งที่ช่วยรักษาชีวิตคุณและครอบครัวในวันข้างหน้า