ถ้าพูดถึง อะโวคาโด ก็อาจจะมีคนที่ไม่รู้จักกันอยู่บ้าง แต่สำหรับคนที่รู้จักแล้วมีความชอบ ในตัวของผลไม้สีเขียวสัญชาติเม็กซิโกชนิดนี้ ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่ามันมีความอร่อยอยู่ในตัวเอง แถมยังประยุกต์เข้ากันได้ดีกับ เมนูอาหารสายคลีน เช่น การนำไปทำเป็นส่วนประกอบของสลัด หรือการนำไปทำเป็นซอสพาสต้า ก็ดูเข้าท่าดี เพราะนอกจากจะอร่อยแล้วยังดีต่อสุขภาพด้วย
ส่วน ประโยชน์ของอะโวคาโด ต้องบอกว่ามันมี ไขมันดี ที่เยอะมาก บวกกับ ไฟเบอร์สูง ทำให้ไม่ต้องกังวลในเรื่องของการบริโภค เพราะถ้าดูจาก คุณค่าทางโภชนาการ แบบคร่าว ๆ ก็จะเห็นว่ามันให้พลังงานไม่เยอะมากนัก แต่สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคไขมันในเส้นเลือด, ความดัน, โรคหัวใจ หรือผู้ป่วยที่ต้องทานยาละลายลิ่มเลือด ไม่ควรบริโภคในปริมาณมาก เพราะอาจทำให้เลือดแข็งตัวเร็ว แนะนำให้ทานเพียงครึ่งลูก / วัน จะดีกว่า
สรรพคุณของ อะโวคาโด
1. สามารถลดคอเลสเตอรอล, ไตรกลีเซอไรด์, ไขมันในเส้นเลือด
2. ช่วยบำรุงหัวใจ
3. ช่วยลดความดันโลหิต
4. ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย
5. มีสารต้านอนุมูลอิสระ
6. ช่วยลดอาการเหน็บชา
7. ช่วยเรื่องระบบขับถ่าย เพราะมีไฟเบอร์สูง
8. ลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคซึมเศร้า
9. ช่วยชะลอริ้วรอย
10. ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคปากนกกระจอก
โดย สรรพคุณ เหล่านี้เป็นเพียงการยกตัวอย่างเท่านั้น เพราะจริง ๆ แล้วมันมีประโยชน์กับร่างกายมากกว่าที่กล่าวมา แต่ทั้งนี้ก็ต้องเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ด้วย
ส่วนใครที่ยังไม่เคยลองกินแล้วอยากจะลิ้มชิมรส ก็ต้องบอกก่อนว่าความอร่อยมันขึ้นอยู่กับสายพันธุ์โดยจะขอแนะนำคร่าว ๆ เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับมือใหม่ ดังนี้
– สายพันธุ์แฮสส์ เป็น อะโวคาโด ที่อร่อยกว่าสายพันธุ์อื่น เพราะไม่มีความขม, เนื้อเนียน และหอม
– สายพันธุ์บัคคาเนียร์ คล้ายกับสายพันธุ์แรก แต่ลูกใหญ่กว่า จะรู้ว่าสุกก็ต่อเมื่อเปลือกเปลี่ยนเป็นสีเขียว
– สายพันธุ์บูท 7 มีลักษณะเป็นลูกกลม ขนาดกำลังดี เนื้อเหนียว เหมาะกับเมืองไทย และราคาไม่แรง
– สายพันธุ์บูท 8 มีลักษณะเป็นลูกกลม แต่มีขนาดเล็กกว่า รสชาติพอกินได้
– สายพันธุ์ปีเตอร์สัน มีลักษณะเป็นลูกกลม ผิวเนียน มีเนื้อสีเหลืองอมเขียว รสชาติออกหวานหน่อย
– สายพันธุ์พิงค์เคอร์ตัน มีลักษณะเรียว ผิวขรุขระ ลูกใหญ่ เนื้อเนียน และเหนียว
– สายพันธุ์ A.034 มีลักษณะเรียวยาว เกิดจากแฮสกับ RUSSELL เนื้อหวาน ถ้ายังไม่สุกจัด เนื้อจะออกขม